ศาสนายูดาห์ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา
|
||
การปฏิวัติ ความพ่ายแพ้ และ การอพยพ
คำสอนของศาสนายูดาห์ช่วยรวมชาวยิวโบราณให้เป็นเอกภาพ
หลังจากที่ชาวโรมันพิชิตชาวอิสราเอล
มีเหตุการณ์มากมายเข้าคุกคามจนทำให้สังคมยิวแตกแยกจากกัน
การคุกคามสังคมของชาวยิวครั้งหนึ่ง
คือ การปกครองโดยชาวต่างถิ่น เมื่อเริ่มต้นคริสต์ศตวรรษแรก
ชาวยิวจำนวนมากในเยรูซาเลมอดทนต่อการปกครองของคนต่างถิ่น
ถ้าพวกเขาได้อิสรภาพคืนมา ชาวยิวเหล่านี้คิดว่า
พวกเขาจะสร้างอาณาจักรอิสราเอลอีกครั้ง
|
||
การปฏิวัติต่อกรุงโรม
ชาวยิวเหล่านี้ที่ก่อการกบฏส่วนมากคือกลุ่มที่เรียกว่า
พวกซีลอต (Zealot
= พวกหัวรุนแรง พวกคลั่งศาสนา) กลุ่มนี้มีความคิดว่า
ชาวยิวไม่ควรตอบคำถามใคร ๆ นอกจากพระเจ้า เป็นผลให้พวกเขาปฏิเสธที่เชื่อฟังเจ้าหน้าที่ของโรมัน
พวกซีลอตได้กระตุ้นชาวยิวกลุ่มเดียวกันให้ลุกขึ้นต่อต้านชาวโรมัน ความตึงเครียดระหว่างชาวยิวและชาวโรมันก็เพิ่มมากขึ้น
ชาวยิวที่นำโดยพวกซีลอตก็ได้ต่อสู้อย่างดุเดือด
ในที่สุด
การปฏิวัติต่อชาวโรมันของชาวยิวก็ไม่ประสบผลสำเร็จ การปฏิวัติดำรงอยู่เป็นเวลา 4
ปี และก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ในขณะที่การต่อสู้สิ้นสุดลง
กรุงเยรูซาเลมก็มีแต่ซากปรักหักพัง สงครามทำให้สิ่งก่อสร้างเสียหายมากมายและทำให้สิ่งมีชีวิตสูญเสียมากมาย
การทำลายล้างชาวยิวที่มากยิ่งกว่านั้น ก็คือความจริงที่ว่า
ชาวโรมันได้เผาพระวิหารที่สอง (The Second Temple) ในช่วงเวลาวันสุดท้ายแห่งการต่อสู้ใน
ค.ศ. 70 ดังข้อความว่า:
“ในขณะที่เปลวเพลิงลุกโพลงขึ้น
ชาวยิวก็ตะโกนขึ้นอย่างดัง ประหนึ่งว่าได้รับความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแรงกล้าและวิ่งไปพร้อมกันเพื่อปกป้องพระวิหารนั้น
และบัดนี้ พวกเขาก็ไม่หวงแหนชีวิตของพวกเขาอีกต่อไป ทั้งไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ
ที่จะยับยั้งพลังของพวกเขา นับตั้งแต่วิหารอันศักดิ์สิทธิ์พังพินาศลง”
-
ฟลาวิอุส โจเซพุส, The
Wars of the Jews
หลังจากวิหารถูกทำลาย
ชาวยิวส่วนใหญ่สูญเสียความตั้งใจที่จะต่อสู้และก็ยอมแพ้
แต่ชาวยิวส่วนน้อยปฏิเสธที่จะยกเลิกการต่อสู้ของตนเอง
กลุ่มเล็กน้อยของพวกคลั่งศาสนานั้นได้ขังตัวอยู่ในป้อมปราการบนยอดเขาที่เรียกว่า
มาซาดา (Masada)
ด้วยความมุ่งมั่นที่ทำลายการปฏิวัติให้ย่อยยับ
ชาวโรมันจึงส่งทหาร 15,000 นายไปจับตัวพวกซีลอต แต่อย่างไรก็ตาม
ป้อมมาซาดาเข้าถึงยากลำบาก
ชาวโรมันจึงต้องสร้างทางลาดดินและหินขนาดใหญ่เพื่อเข้าไปสู่ป้อมนั้น
เป็นเวลา 2 ปีที่พวกซีลอตไม่ยอมแพ้ ในขณะที่ทางลาดก็พัฒนาขึ้น ในที่สุด
ชาวโรมันก็ค้นพบกำแพงของป้อมมาซาดา พวกซีลอตก็ได้ทำลายชีวิตของตนเอง
พวกเขาปฏิเสธที่จะเป็นทาสของโรมัน
ผลของการปฏิวัติ
เมื่อทหารโรมันยึดป้อมมาซาดาได้ใน
ค.ศ. 73 (พ.ศ. 616) การปฏิวัติของชาวยิวก็สิ้นสุดลง
เพื่อเป็นการลงโทษการปฏิวัติของชาวยิว
ชาวโรมันจึงได้ฆ่าประชากรของเยรูซาเลมเป็นจำนวนมาก
พวกเขาได้นำชาวยิวที่รอดชีวิตจำนวนมากไปยังกรุงโรมเพื่อเป็นทาส
ชาวโรมันได้ทำลายโครงสร้างอำนาจของชาวยิวและยึดเมืองหลวง
นอกจากผู้ที่ถูกจับมาเป็นทาสแล้ว
ชาวยิวหลายพันคนก็อพยพออกจากกรุงเยรูซาเลมหลังจากทำลายพระวิหารที่สอง
เมื่อพระวิหารถูกทำลาย พวกเขาจึงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ในกรุงเยรูซาเลมอีกต่อไป
ชาวยิวจำนวนมากได้อพยพไปยังชุมชนของชาวยิวในส่วนอื่น ๆ ของจักรวรรดิโรมัน
จุดหมายร่วมกันแห่งเดียวคือเมืองอเล็กซานเดรียในอียิปต์ ซึ่งมีชุมชนชาวยิวที่ใหญ่
ประชากรของชุมชนชาวยิวเหล่านี้เจริญเติบโตขึ้นหลังจากชาวโรมันทำลายกรุงเยรูซาเลม
|
การปฏิวัติครั้งที่สอง
อย่างไรก็ตาม
ชาวยิวบางพวกเลือกที่จะไม่อพยพออกจากกรุงเยรูซาเลมในขณะที่ชาวโรมันพิชิตกรุงเยรูซาเลม
ประมาณ 60 ปีหลังจากยึดป้อมมาซาดา ชาวยิวเหล่านี้
ไม่พอใจกับการปกครองของชาวโรมัน จึงเริ่มก่อการปฏิวัติอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม
กองทัพโรมันก็ได้รับชัยชนะเหนือชาวยิวอีกครั้ง
หลังจากการปฏิวัติครั้งนี้ในศตวรรษที่ 130
ชาวโรมันได้สั่งห้ามชาวยิวทุกคนออกจากกรุงเยรูซาเลม เจ้าหน้าที่โรมันประกาศว่า
ชาวยิวคนใดที่ถูกจับในหรือใกล้เมืองหลวงจะถูกฆ่า
เป็นผลให้การอพยพของชาวยิวทั่วภูมิภาคทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีจำนวนมากขึ้น
การอพยพและการเลือกปฏิบัติ
เนื่องจากชาวยิวไม่ได้อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเลม
ธรรมชาติของศาสนายูดาห์จึงเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากชาวยิวไม่มีวิหารสำหรับปฏิบัติศาสนกิจมาเป็นเวลานาน
โบสถ์ในท้องถิ่นจึงมีความสำคัญมาก ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้นำที่เรียกว่า Rabbis หรือครูสอนศาสนา
จึงมีบทบาทยิ่งใหญ่ขึ้นในการแนะนำชาวยิวในการดำเนินชีวิตด้านศาสนาของพวกเขา
ครูสอนศาสนามีความรับผิดชอบในการแปลคัมภีร์โทราห์และคำสอน
การเปลี่ยนแปลงนี้มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการกระทำของโยฮันนัน
เบน ซักกาอิ (Yohanan
ben Zakkai) ครูสอนศาสนาผู้ที่ก่อตั้งโรงเรียนขึ้นที่ยัฟเนห์
(Yavneh) ใกล้กรุงเยรูซาเลม ในโรงเรียนแห่งนี้
เขาได้สอนประชาชนเกี่ยวกับศาสนายูดาห์และฝึกอบรมพวกเขาให้เป็นครูสอนศาสนา ด้วยอิทธิพลของโยฮันนัน
แนวความคิดครูสอนศาสนาจึงเกิดขึ้นว่า
ทำอย่างไรศาสนายูดาห์จึงจะได้รับความเคารพนับถือเป็นเวลาหลายศตวรรษถัดมา
ครูสอนศาสนาจำนวนมากยังบริการในฐานะเป็นผู้นำชุมชนชาวยิวอีกด้วย
เมื่อเวลาผ่านไปหลายศตวรรษ
ชาวยิวได้อพยพออกจากภูมิภาคทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลก
ในหลายกรณี การอพยพนี้ไม่ได้เป็นไปโดยสมัครใจ
ชาวยิวถูกบังคับให้อพยพโดยกลุ่มศาสนาอื่น ๆ
ที่แบ่งแยกเชื้อชาติพวกเขาหรือไม่มีความยุติธรรมต่อพวกเขา
ชาวยิวถูกบังคับให้อพยพออกจากเมืองหลวงและค้นพบสถานที่แห่งใหม่ในการดำเนินชีวิต
เป็นผลให้ชาวยิวพวกบางตั้งหลักแหล่งในเอเชีย
รัสเซียและในสหรัฐในยุคต่อมาเป็นจำนวนมาก
|
ประเพณีวัฒนธรรมสองสาย
การกระจัดกระจายของชาวยิวไปทั่วโลก
เรียกว่า การพลัดถิ่น (the Diaspora) เริ่มขึ้นหลังจากเชลยศึกบาบิโลนเมื่อศตวรรษที่
500 ก่อนคริสตกาล หลังจากเวลานั้น ชุมชนชาวยิวได้พัฒนาไปทั่วทั่วโลก
ชาวยิวในสถานที่ทุกแห่งได้ใช้ความเชื่อพื้นฐานของศาสนายูดาห์ร่วมกัน
ยกตัวอย่างเช่น ชาวยิวทั้งหมดยังคงเชื่อในพระเจ้าและพยายามเชื่อกฎหมายของพระเจ้าในฐานะเป็นจุดเริ่มคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
แต่ชุมชนในสถานที่ต่าง ๆ ของโลกมีวัฒนธรรมประเพณีแตกต่างกัน เป็นผลให้ชุมชนชาวยิวในส่วนต่าง
ๆ ของโลกเริ่มจะวิวัฒนาการภาษา พิธีกรรม และวัฒนธรรมของตนเอง
ความแตกต่างเหล่านี้ได้นำไปสู่การสร้างสรรค์ประเพณีวัฒนธรรมหลักสองสาย
ซึ่งทั้งสองสายก็ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน
ชาวยิวในยุโรปตะวันออก
ในบรรดาประเพณีวัฒนธรรมสองสายนั้น
สายหนึ่ง คือ อัชเคนาซิมหรืออัชเคนาซิ (Ashkenazim/ Ashkenazi) วิวัฒนาการมากจากลูกหลานของชาวยิวที่อพยพไปยังประเทศฝรั่งเศส
เยอรมนี และยุโรปตะวันออกในช่วงการพลัดถิ่น ส่วนมากชาวยิวเหล่านี้มีชุมชนที่แยกจากเพื่อนบ้านที่ไม่ใช่ชาวยิว
ดังนั้น พวกเขาจึงได้พัฒนาวัฒนธรรมประเพณีของตนเองไม่เหมือนกับของเพื่อนบ้านเลย ตัวอย่างเช่น
พวกเขาได้พัฒนาภาษาของตนเอง เป็นภาษา ยิดดิช (Yiddish) ภาษายิดดิช คล้ายกับภาษาเยอรมนีแต่เขียนด้วยอักษรฮิบรู
ชาวยิวในสเปนและโปรตุเกส
วัฒนธรรมประเพณีของชาวยิวอีกพวกหนึ่งได้พัฒนาในช่วงการพลัดถิ่นในสเปนและโปรตุเกสปัจจุบันในยุโรปตะวันตก
ลูกหลานของชาวยิว ณ ที่นั้นเรียกว่า เซฟาร์ดิมหรือเซฟาร์ดี (Sephardim/Sephardi) พวกเขายังมีภาษาของตนเอง คือ ลาดิโน (Ladino)
อีกด้วย ซึ่งเป็นภาษาที่ผสมภาษาสเปน ฮิบรูและอารบิกเข้าด้วยกัน เซฟาร์ดิมไม่เหมือนอัชเคนาซิม
ผสมผสานกับประชาชนที่ไม่ใช่ชาวยิวในภูมิภาคได้ เป็นผลให้ข้อปฏิบัติทางศาสนาและวัฒนธรรมเซฟาดิมยืมรากฐานมาจากวัฒนธรรมอื่น
ๆ เมื่อรู้จักการประพันธ์และปรัชญาของตนเอง ชาวเซฟาร์ดิมจึงได้สร้างยุคทองแห่งวัฒนธรรมยิวขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่
1000 – 1100 ในช่วงนี้ ยกตัวอย่างเช่น
นักกวีชาวยิวได้เขียนงานประพันธ์ที่สวยงามในภาษาฮิบรูและภาษาอื่น ๆ
นักวิชาการชาวยิวยังได้สร้างความก้าวหน้าในด้านคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ แพทยศาสตร์
และปรัชญาเป็นจำนวนมาก
ประเพณีและวันสำคัญทางศาสนา
วัฒนธรรมของยิวเป็นวัฒนธรรมที่เก่าแก่ที่สุดสายหนึ่งในโลก
เนื่องจากรากฐานของชาวยิวย้อนไปไกลมาก
ชาวยิวจำนวนมากจึงมีความรู้สึกเชื่อมต่อกับอดีตได้อย่างเข้มแข็ง
พวกเขายังมีความรู้สึกว่า การเข้าใจประวัติศาสตร์ของตนเองจะช่วยให้ปฏิบัติตามคำสอนของชาวยิวได้ดีกว่าด้วย
ประเพณีและวันสำคัญทางศาสนาของพวกเขา ช่วยให้พวกเขาเข้าใจและยกย่องประวัติศาสตร์ของตนเอง
ฮานักกาห์ (Hanukkah)
ประเพณีของชาวยิวอย่างหนึ่งได้รับการเฉลิมฉลองโดยชาวฮานุกกาห์
(Hanukkah) ซึ่งตกอยู่ในเดือนธันวาคม เป็นการให้เกียรติการสร้างอุทิศพระวิหารที่สองขึ้นมาใหม่ในระหว่างการปฏิวัติของมัคคาบีส์
(Maccabees)
|
มัคคาบีส์ต้องการฉลองชัยชนะอันยิ่งใหญ่ซึ่งทำให้มีความเชื่อมั่นในผู้ปกครองที่ไม่ใช่ยิวจะช่วยพวกเขารักษาศาสนาไว้ได้
ตามตำนานกล่าวว่า แม้มัคคาบีส์จะไม่มีน้ำมันตะเกียงเพียงพอในการปฏิบัติพิธีอุทิศตนครั้งใหม่
น้ำมันที่พวกเขามีอยู่ พอเพียงสำหรับวันเดียวเท่านั้น
แต่จุดไฟได้เป็นเวลาแปดวันเต็มอย่างน่ามหัศจรรย์
ปัจจุบันชาวยิวได้เฉลิมฉลองเหตุการณ์นี้ด้วยการจุดเทียนในเชิงเทียนที่เรียกว่า
เมโนราห์ (Menorah) กิ่ง 8 กิ่งเป็นตัวแทนวัน 8 วัน ที่น้ำมันเผาไหม้อยู่ตลอด ชาวยิวจำนวนมากยังได้แลกเปลี่ยนของขวัญในแต่ละคืนในบรรดา
8 คืนนั้นด้วย
วันหยุดเพื่อระลึกถึงการอพยพของชาวยิวจากอียิปต์ (Passover) หรือปัสคา
วันหยุดเพื่อระลึกถึงการอพยพของชาวยิวที่สำคัญมากกว่าฮานุกกาห์สำหรับชาวยิว
คือ วันที่เฉลิมฉลองในเดือนมีนาคม หรือ เดือนเมษายน วันหยุดเพื่อระลึกถึงการอพยพของชาวยิวจากอียิปต์ (Passover) คือช่วงเวลาที่ชาวยิวระลึกถึงพระธรรมอพยพ
ซึ่งเป็นการเดินทางออกจากความเป็นทาสในอียิปต์ของชาวอิสราเอล
ตามประเพณีของชาวยิว
ชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์เร็วมากจนกระทั่งช่างทำขนมปังไม่มีเวลาจะปล่อยให้ขนมปังฟูขึ้น
ดั้งนั้น ในช่วงวันหยุดเพื่อระลึกถึงการอพยพ ชาวยิวจึงรับประทานเพียง matzo ซึ่งเป็นขนมปังแผ่นบาง
ไม่ฟูขึ้น เท่านั้น พวกเขายังฉลองวันสำคัญทางศาสนา
ด้วยอาหารในพิธีการและพิธีกรรมที่เรียกว่า เซเดอร์ (seder)
ในช่วงพิธีเซเดอร์ ผู้เข้าร่วมพิธีจะระลึกถึงและย้อนเหตุการณ์แห่งหนังสืออพยพ
วันบริสุทธิ์สูง (High Holy Days)
พิธีการและพิธีกรรมยังเป็นส่วนหนึ่งของวัน High Holy Days ซึ่งเป็นวันที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด จำนวน 2 วัน ในบรรดาวันสำคัญทางศาสนาทั้งหมดของชาวยิว
พวกเขาจะจัดขึ้นในแต่ละปีในเดือนกันยายนหรือตุลาคม สองวันแรกแห่งการเฉลิมฉลอง เรียกว่า
เทศกาลรอช ฮาชชะนาห์ (Rosh Hashanah) จะเป็นการฉลองวันขึ้นปีใหม่ในปฏิทินของชาวยิว
ในเทศกาล ยม คิปปูร์
(Yom
Kippur) ซึ่งห่างจากเทศกาลรอช ฮาชชะนาห์ไม่นาน ชาวยิวถือว่า
เทศกาลยม คิปปูร์ เป็นวันที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของทุก ๆ ปี
เนื่องจากเป็นวันที่สำคัญมาก ชาวยิวจึงไม่รับประทานหรือดื่มอะไรเลยตลอดทั้งวัน พิธีการมากมายที่พวกเขาปฏิบัติในเทศกาลยม
คิปปูร์นับย้อนไปถึงยุคของพระวิหารที่สอง พิธีการเหล่านี้ช่วยให้ชาวยิวจำนวนมากรู้สึกมีความสัมพันธ์เชื่อมต่อกับอดีตอันยาวไกลของตนเอง
จนถึงยุคของอับราฮัมและโมเสส
|