กรีซกับเปอร์เซีย
|
||
เปอร์เซียกลายเป็นจักรวรรดิ
ในขณะที่ชาวเอเธนส์กำลังย่างก้าวแรกไปสู่การสร้างประชาธิปไตย
อำนาจใหม่กำลังเกิดขึ้นในด้านตะวันออก อำนาจนั้น คือจักรวรรดิเปอร์เซีย ต่อมาจะเข้าโจมตีกรีซ
แต่ในยุคต้นประวัติศาสตร์ ชาวเปอร์เซียเป็นกลุ่มชนเร่ร่อนยังไม่ได้รวมตัวกัน
มีผู้นำที่มีทักษะ เช่น พระเจ้าไซรัสมหาราชและพระเจ้าดาไรอัสที่ 1 ในการเปลี่ยนแปลงสถานะนั้น
ชาวเปอร์เซียได้สร้างจักรวรรดิที่ใหญ่โตมหึมา ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาจักรวรรดิโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ภายใต้การปกครองของผู้นำเหล่านี้
|
||
พระเจ้าไซรัสมหาราช
(Cyrus
the Great)
ในประวัติศาสตร์ยุคแรก
ชาวเปอร์เซียต่อสู้กับชนชาติอื่น ๆ ในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ บางครั้งก็พายแพ้
ตามความจริง ชาวเปอร์เซียพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับชนชาติที่เรียกว่า มีดส์ (Medes) และถูกชนชาตินั้นปกครองเป็นเวลา
150 ปี อย่างไรก็ตาม เมื่อ 550 ปีก่อนคริสตกาล พระเจ้าไซรัสที่ 2 (Cyrus
II)
ได้เป็นผู้นำชาวเปอร์เซียปฏิวัติชาวมีดส์ การปฏิวัติประสบผลสำเร็จ พระเจ้าไซรัสได้นำอิสรภาพมาให้กับเปอร์เซียและพิชิตชนชาติมีดส์
ชัยชนะของพระองค์เป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นจักรวรรดิเปอร์เซีย
เมื่อมองดูแผนที่
พระเจ้าไซรัสจะพิชิตเอเชียตะวันตกเฉียงใต้เป็นสวนมาก รวมทั้งเอเชียไมเนอร์เกือบทั้งหมด
ในรัชสมัยของพระองค์ เมืองกรีกที่พระเจ้าไซรัสยึดได้ก็รวมอยู่ในภูมิภาคนี้ด้วย ครั้นแล้วพระองค์ก็ยาตราทัพไปทางใต้เพื่อพิชิตดินแดนเมโสโปเตเมีย
พระเจ้าไซรัสยังได้รวมดินแดนเข้ากับตะวันออก
พระองค์ได้นำกองทัพเข้าไปในเอเชียกลางสู่แม่น้ำยาซาร์เตส
(Jaxartes
River) ซึ่งปัจจุบันคือแม่น้ำซีร์ดาร์ยา (Syr Darya) เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อประมาณ 529 ปีก่อนคริสตกาล พระเจ้าไซรันได้ปกครองจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดซึ่งโลกเคยมีมา
พระเจ้าไซรัสได้อนุญาตให้ผู้คนที่พระองค์พิชิตมารักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของพวกเขาเอง
พระองค์ทรงว่า ข้อนี้น่าจะทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะก่อการกบฎน้อยลง ผู้คนจำนวนเล็กน้อยก่อกบฏพระเจ้าไซรัส
และจักรวรรดิของพระองค์ก็ยังคงเข้มแข็ง เนื่องจากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้
นักประวัติศาสตร์จึงเรียกพระองค์ว่า พระเจ้าไซรัสมหาราช
กองทัพเปอร์เซีย
พระเจ้าไซรัสประสบผลสำเร็จในการพิชิตของพระองค์
เนื่องจากกองทัพของพระองค์เข้มแข็ง กองทัพของพระองค์เข้มแข็งเพราะมีการจัดการที่ดีและมีความจงรักภักดี
ในใจกลางกองทัพของเปอร์เซียมีทหากล้าตาย
จำนวน 10,000 คนที่ถูกเลือกมาด้วยความกล้าหาญและทักษะของพวกเขา นอกจากทหารกล้าตายแล้ว
กองทัพยังมีทหารม้าทรงพลานุภาพ ทหารม้าคือหน่วยทหารที่ขี่ม้า พระเจ้าไซรัสใหล้ทหารม้าของพระองค์เพื่อโจมตีศัตรูและยิงศัตรูด้วยลูกศร
ยุทธวิธีนี้ทำให้ศัตรูอ่อนแอก่อนที่หน่วยกล้าตายจะเข้าโจมตี ด้วยการทำงานร่วมกัน
ทหารม้าและทหารกล้าตายสามารถปราบศัตรูได้เกือบทั้งหมด
|
จักรวรรดิเปอร์เซียเจริญเติบโตแข็งแกร่ง
แคมไบซีน (Cambyses) โอรสของพระเจ้าไซรัสก็ขยายดินแดนจักรวรรดิเปอร์เซียต่อไปหลังจากพระเจ้าไซรัสสิ้นพระชนม์
ยกตัวอย่างเช่น พระองค์ได้พิชิตอียิปต์และผนวกเข้ากับจักรวรรดิ แม้ว่าหลังจากนั้นไม่นาน
การก่อการกบฏเริ่มก่อตัวขึ้นในเปอร์เซีย ในช่วยการก่อการกบฏนี้ พระเจ้าแคมไบซีสได้สิ้นพระชนม์
การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ได้ทิ้งให้เปอร์เซียปราศจากผู้นำที่ชัดเจน
ภายในระยะเวลา
4 ปี กษัตริย์หนุ่มนามว่า ดาไรอัสที่ 1 (Darius I)
ก็เรียกร้องราชบัลลังก์และสังหารคู่แข่งของพระองค์เพื่อแย่งอำนาจ ทันทีที่พระองค์ครองบัลลังก์อย่างมั่นคง
พระเจ้าดาไรอัสก็ทรงดำเนินการฟื้นฟูระเบียบในเปอร์เซีย พระองค์ยังได้ปรับปรุงสังคมเปอร์เซียและขยายอาณาจักรด้วย
การจัดระบบทางด้านการเมือง
พระเจ้าดาไรอัสได้จัดระบบจักรวรรดิด้วยการแบ่งเป็น
20 จังหวัด ครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงเลือกผู้ว่าราชการจังหวัด satraps (ข้าหลวง) ให้ไปปกครองจังหวัดแทนพระองค์ ข้าหลวงจะเก็บสะสมภาษีไว้ให้กับพระเจ้าดาไรอัส
ซึ่งได้รับบริการในฐานะเป็นผู้พิพากษา และให้ปราบกบฏในดินแดนของพระองค์
ข้าหลวงมีอำนาจมากภายในจังหวัดของตนเอง แต่พระเจ้าดาไรอัสยังคงเป็นผู้ปกครองจักรวรรดิที่แท้จริง
เจ้าหน้าที่ของพระองค์จะไปเยี่ยมแต่ละจังหวัดเพื่อความมั่นใจข้างหลวงจะมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าดาไรอัส
พระองค์จะเรียกตัวพระองค์เองว่าเป็นกษัตริย์แห่งกษัตริย์ทั้งหลาย (King
of kings) เพื่อทำให้นักปกครองคนอื่น ๆ ให้ระลึกถึงอำนาจพระองค์
|
สังคมชาวเปอร์เซีย
หลังจากพระเจ้าดาไรอัสได้ฟื้นฟูนระเบียบให้กับจักรวรรดิ
พระองค์ก็ได้ดำเนินการปรับปรุงสังคมชาวเปอร์เซีย ยกตัวอย่างเช่น
พระองค์ได้สร้างถนนมากมาย
ดาไรอัสรับสั่งให้สร้างถนนเชื่อมต่อส่วนต่าง
ๆ ของจักรวรรดิ เหล่าผู้ส่งสาส์นได้ใช้ถนนเหล่านี้สัญจรไปทั่วเปอร์เซียได้อย่างรวดเร็ว
ถนนสายหนึ่ง เรียกกันว่า ถนนสายเปอร์เซีย (the Royal Road หรือ Persian
Royal Raod) มีความยาวมากกว่า
1,700 ไมล์ (ประมาณ 3,153 กิโลเมตร) แม้แต่ศัตรูของเปอร์เซียก็นิยมชมชอบถนนเหล่านี้และระบบการส่งสาส์นของเปอร์เซีย
ยกตัวอย่างเช่น นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกท่านหนึ่งเขียนไว้ว่า:
“ไม่มีสิ่งใดที่มนุษย์สัญจรไปได้รวดเร็วมากเท่ากับเหล่านักส่งสาส์นชาวเปอร์เซียเหล่านี้...ไม่มีสิ่งใดจะมาขัดขวางคนเหล่านี้ให้ประสบผลสำเร็จ
ณ สถานที่ห่างไกลด้วยความเร็วที่ดีที่สุดของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะต้องเดินทางไป
ไม่ว่าจะเป็นหิมะ หรือฝน หรือความร้อน หรือความมืดในเวลากลางคืน”
- เฮอรอโดทัส
จาก ประวัติศาสตร์สงครามเปอร์เซีย
พระเจ้าดาไรอัสยังได้สร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ให้กับจักรวรรดิ
เรียกว่า แพร์ซโพลิส (Persepolis) พระเจ้าดาไรอัสต้องการให้เมืองหลวงของพระองค์สะท้อนถึงความรุ่งเรืองของจักรวรรดิของพระองค์
ดังนั้น พระองค์จึงได้เพิ่มเติมงานด้านศิลปะอันงดงาม ตัวอย่างเช่น ภาพแกะสลัก
3,000 ภาพ เหมือนกับภาพด้านบนจำนวนหนึ่งที่เขียนลงบนกำแพงเมือง
รูปปั้นทั่วเมืองหลวงระยิบระยับไปด้วยทองคำ เงิน และเครื่องเพชรพลอยอันมีค่า
ในรัชสมัยของพระเจ้าดาไรอัส
มีศาสนาใหม่ ๆ เกิดขึ้นในจักรวรรดิเปอร์เซียด้วย ศาสนานี้ เรียกกันว่า โซโรอัสเตอร์
(Zoroastrianism) มีคำสอนว่า มีอำนาจสองอำนาจต่อสู้กันเพื่อควบคุมจักรวาล
อำนาจหนึ่งคือความดี อำนาจหนึ่งคือความชั่ว นักบวชในศาสนานี้เตือนให้ผู้คนเข้าข้างความดี
ศาสนานี้ได้รับความนิยมในเปอร์เซียเป็นเวลาหลายศตวรรษ
|
การขยายอาณาเขตของเปอร์เซีย
พระเจ้าดาไรอัสมีความประสงค์ให้จักรวรรดิเปอร์เซียมีความเจริญรุ่งเรืองเช่นเดียวกับพระเจ้าไซรัส
ในด้านตะวันออก พระองค์ได้พิชิตลุ่มแม่น้ำสินธุได้ทั้งหมด พระองค์ยังพยายามขยายจักรวรรดิไปด้านทิศตะวันตกเข้าไปสู่ยุโรป
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พระเจ้าดาไรอัสจะเคลื่อนทัพไปไกลมากจนถึงยุโรป พระองค์ได้ขับเคี่ยวกับการปฏิวัติในจักรวรรดิ
ชาวเปอร์เซียต่อสู้กับกรีซ
เมื่อ 499
ปีก่อนคริสตกาลเมืองของกรีกจำนวนมากในเอเชียไมเนอร์ได้ก่อการปฏิวัติการปกครองของเปอร์เซีย
นครรัฐสองสามแห่งบนกรีซแผ่นดินใหญ่ได้ส่งทหารเข้าร่วมต่อสู้กับเปอร์เซีย
เพื่อช่วยเหลือกรีกที่เป็นมิตรภาพ
ชาวเปอร์เซียได้ปราบปรามการปฏิวัติ
แต่พระเจ้าดาไรอัสยังคงทรงพิโรธชาวกรีก แม้ว่าหลายเมืองที่ก่อการกบฏจะอยู่ในเอเชียก็ตาม
พระเจ้าดาไรอัสก็ทรงพิโรธว่า ชาวกรีกพวกอื่น ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ชาวกรีกเหล่านั้น
พระองค์ได้ยืนยันว่าจะแก้แค้นชาวกรีก
|
สงครามมาราธอน (The Battle of
Marathon)
เป็นเวลา 9 ปีหลังจากหลายเมืองในกรีกก่อการกบฏ
พระเจ้าดาไรอัสก้ได้บุกรุกกรีซ พระองค์และกองทัพได้แล่นเรือไปยังที่ราบมาราธอน (the plains of Marathon) ใกล้กรุงเอเธนส์
การบุกรุกนี้เริ่มก่อนสงครามเป็นระลอก ๆ ระหว่างเปอร์เซียกับกรีซ
ซึ่งนักประวัติศาสตร์เรียกว่า สงครามเปอร์เซีย (the
Persian Wars)
กองทัพเอเธนส์มีทหารประมาณ
11,000 คนเท่านั้น ในขณะที่เปอร์เซียมีทหารประมาณ 15,000 คน แต่อย่างไรก็ตาม
กรีกก็ชนะสงคราม เนื่องจากพวกเขามีอาวุธที่ดีกว่าและผู้นำที่ฉลาดกว่า
ตำนานกล่าวไว้ว่า
ผู้ส่งสาส์นได้วิ่งจากที่ราบมาราธอนไปถึงกรุงเอเธนส์ไกลมากกว่า 26 ไมล์ (ประมาณ
46 กิโลเมตร) เพื่อนำข่าวชัยชนะอันยิ่งใหญ่ไปบอกชาวเอเธนส์ หลังจากที่เขาตะโกนว่า
“น่ายินดี..!
พวกเราชนะแล้ว” เขาก็ล้มลงสิ้นใจตายที่พื้นดินด้วยความเหน็ดเหนื่อย
การรุกรานกรีกครั้งที่สอง
10
ปีหลังจากสงครามมาราธอน โอรสของพระเจ้าดาไรอัส พระเจ้าเซอร์ซีสที่ 1 (Xerxes
I)
พยายามพิชิตกรีซอีกครั้ง เมื่อ 480 ปีก่อนคริสตกาล กองทัพเปอร์เซียเริ่มออกเดินทางไปยังกรีซ
ครั้งนี้พวกเขาได้ร่วมมือกับทหารเรือเปอร์เซีย
ชาวกรีกเตรียมป้องกันบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง
ครั้งนี้ สปาร์ตาซึ่งเป็นนครรัฐที่ทรงอำนาจในตอนใต้ของกรีซ ได้ร่วมมือกับเอเธนส์
ชาวสปาร์ตามีกองทัพที่เข้มแข็งที่สุดในกรีซ ดังนั้น พวกเขาจึงเดินทางไปต่อสู้กับกองทัพเปอร์เซีย
ในขณะที่ชาวเอเธนส์ได้ส่งทหารเรือที่เข้มแข็งไปต่อสู้กับทหารเรือเปอร์เซีย
เพื่อทำให้กองทัพเปอร์เซียล่าช้า
ชาวสปาร์ตาจึงส่งทหารประ 1,400 คน ไปยังเทอร์มีลี (Thermopylae) ซึ่งเป็นช่องเขาแคบ ๆ ชาวเปอร์เซียต้องเดินทางข้ามช่องเขาไปต่อสู้กับหลายเมืองของกรีก
เป็นเวลา 3 วัน กองกำลังเล็ก ๆ ของกรีกทำให้กองทัพเปอร์เซียล่าช้าออกไป ครั้นแล้ว
ชาวเปอร์เซียก็ขอร้องให้ทหารกบฎของกรีกนำพวกเขาออกไปทางช่องแคบอีกทางหนึ่ง
กองทัพเปอร์เซียขนาดใหญ่ได้โจมตีสปาร์ตาทางด้านหลัง ชาวสปาร์ตาผู้กล้าหาญเมื่อถูกล้อมไว้และพันธมิตรสู้ตาย
หลังจากชนะสงคราม ชาวเปอร์เซียได้กวาดล้างไปจนถึงกรุงเอเธนส์
ด้วยการโจมตีและเผาเมือง
|
|
แม้ว่าชาวเปอร์เซียจะได้รับชัยชนะสงครามในช่องแคบ
ชาวกรีกก็ทวงความได้เปรียบคืนมาอย่างรวดเร็ว สองสามวันหลังจากกรุงเอเธนส์ถูกเผา
ชาวเอเธนส์ก็ตีทหารเรือเปอร์เซียจนพ่ายแพ้ด้วยแผนการที่หลักแหลมกว่า พวกเขานำกองทัพเรือที่ใหญ่กว่าไปยังช่องแคบแซลามิส
(Salamis) ชาวเปอร์เซียมีเรือมากมายจนกระทั่งพวกเขาไม่สามารถควบคุมเรือได้ดีในช่องแคบนั้น
เป็นผลให้เรือของชาวเอเธนส์ที่มีกำลังน้อยกว่าทำให้เรือของชาวเปอร์เซียจมลงมากมายหลายลำ
เรือที่ไม่ถูกทำลายในไม่ช้าก็เดินทางกลับสู่บ้าน
ในไม่ช้าหลังจากสงครามแซลามิส
กองทัพทหารจากทั่วทุกแห่งของกรีซก็ตีเปอร์เซียจนแตกที่พลาตาเอ (Plataea) สงครามครั้งนี้ทำให้สงครามเปอร์เซียสิ้นสุดลง เมื่อได้รับความพ่ายแพ้
ชาวเปอร์เซียก็เดินทางออกจากกรีซ
สำหรับชาวเปอร์เซียแล้ว
การพ่ายแพ้ครั้งนี้เป็นการเสียเกียรติ แต่ก็ไม่ใช่การโจมตีที่สำคัญ จักรวรรดิของพวกเขาก็ยังเข้มแข็งเป็นเวลามากกว่าศตวรรษหลังจากสงคราม
สำหรับกรีก แม้ว่าความพ่ายแพ้ของเปอร์เซียคือชัยชนะ พวกเขาก็ได้ปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองไว้ได้
|
|
|