การปกครองในเอเธนส์
|
||
การปกครองของสมาชิกของชนชั้นสูงและผู้ปกครองเผด็จการ
กรีซเป็นสถานที่ให้กำเนิดการปกครองแบบประชาธิปไตย
(ความจริงเป็นประเทศอินเดียโบราณ ซึ่งมีในรัฐวัชชีและมัลละและในพุทธศาสนา แต่ฝรั่งยังเข้าไม่ถึงหลักฐานเหล่านั้น
– ผู้จัดทำ) ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองที่ประชาชนปกครองตนเอง คำว่า Democracy มาจากคำภาษากรีก หมายความว่า “การปกครองของประชาชน” แต่นครรัฐของกรีกไม่ได้เป็นต้นกำเนิดของประชาธิปไตย
และไม่ได้เป็นประชาธิปไตยทั้งหมด
|
||
การปกครองโดยประชาชนกลุ่มน้อย
แม้ว่าเอเธนส์
ซึ่งเป็นเมืองที่เป็นต้นกำเนิดของการปกครองแบบประชาธิปไตย
เริ่มต้นด้วยการปกครองรูปแบบต่าง ๆ กัน ในเอเธนส์ยุคแรก กษัตริย์ก็ปกครองนครรัฐ
ต่อมากลุ่มเจ้าของที่ดินผู้ร่ำรวย หรือสมาชิกของชนชั้นสูง (aristocrat) ก็ขึ้นครองอำนาจ
การปกครองที่ชนกลุ่มน้อยเท่านั้นขึ้นครองอำนาจ เรียกว่า คณาธิปไตย (oligarchy)
สมาชิกของชนชั้นสูงมีอิทธิพลเหนือสังคมเอเธนส์
ในขณะที่คนร่ำรวยที่สุดอยู่ในเมือง พวกเขาก็ครอบครองเศรษฐกิจของเมือง และยังมีหน้าที่เป็นผู้วางแผนและเป็นผู้พิพากษาด้วย
ประชาชนทั่วไปมีเสียงเพียงเล็กน้อยในการปกครอง
ในศตวรรษที่
600 ก่อนคริสตกาล กลุ่มกบฏได้พยายามล้มล้างอำนาจสมาชิกชนชั้นสูง แต่ล้มเหลว อย่างไรก็ตาม
น่าจะเป็นเพราะสาเหตุแห่งความพยายามของพวกเขา จึงทำให้ชายนามว่า ดราโก (Draco)
สร้างกฎหมายชุดใหม่ให้กับเอเธนส์ กฎหมายเหล่านี้มีความรุนแรงมาก ยกตกอย่าง
กฎหมายของดราโกได้สร้างอาชญากรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ขึ้น เช่น
การปล่อยเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งมีโทษถึงตาย
ประชากรของเอเธนส์คิดว่า
กฎหมายของดราโกเข้มงวดเกินไป ในศตวรรษที่ 590 ก่อนคริสตกาล ชายนามว่า โซลอน (Solon)
ได้ออกกฎหมายมาหนึ่งชุด
ซึ่งรุนแรงน้อยกว่าและให้สิทธิแก่ผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกชนชั้นสูงมากกว่า ภายใต้กฎหมายของโซลอน
อิสรชนที่อาศัยอยู่ในเอเธนส์ก็กลายเป็นพลเมือง
ซึ่งเป็นประชาชนที่มีสิทธิในการเข้าร่วมในการปกครอง แต่ความพยามของโซลอนไม่เพียงพอสำหรับชาวเอเธนส์
พวกพร้อมที่ยุติบทบาทของสมาชิกชนชั้นสู
การอุบัติขึ้นของนักปกครองเผด็จการ
เนื่องจากชาวเอเธนส์ไม่พอใจกับการปกครองของสมาชิกชนชั้นสูง
พวกเข้าจึงต้องการรัฐบาลใหม่ เมื่อ 546 ปีก่อนคริสตกาล ขุนนางนามว่า พิซิสตราตัส
(Peisistratus) ได้ล้มล้างการปกครองแบบคณาธิปไตย เขากลายเป็นผู้ปกครองเอเธนส์
พิซิสตราตัสได้รับการเรียกขานว่า นักปกครองเผด็จการหรือทรราช (tyrant) ซึ่งหมายความว่า
ผู้นำที่ยึดอำนาจด้วยการใช้กำลัง
|
ปัจจุบัน
คำว่า นักปกครองเผด็จการหรือทรราช หมายถึง ผู้ปกครองที่มีความโหดร้ายรุนแรง
แต่คำนั้นมีความหมายแตกต่างกันกับภาษากรีกโบราณ นักปกครองเผด็จการหรือทรราชของชาวเอเธนส์
โดยปกติแล้วเป็นผู้นำที่ดี นักปกครองเผด็จการหรือทรราช สามารถอยู่ในอำนาจได้
เนื่องจากพวกเขามีกองทัพที่เข้มแข็งและเนื่องจากประชาชนสนับสนุนพวกเขา
พิซิสตราตัสได้นำความสงบสุขและความรุ่งเรืองกลับมาสู่เมือง
เขาเริ่มนโยบายใหม่ที่หมายถึงการรวบรวมเมืองให้เป็นเอกภาพ เขาได้สร้างเทศกาลใหม่
ๆ ขึ้นและสร้างวิหารและอนุสาวรีย์ ในยุคที่เขาปกครอง มีการปรับปรุงพัฒนามากมายในเอเธนส์
ภายหลังทีพิซิสตราตัสเสียชีวิต
บุตรชายของเขาได้ขึ้นครองอำนาจในฐานเป็นผู้นำเผด็จการหรือทรราช
แต่อย่างไรก็ตามสมาชิกของชนชั้นสูงมากมายไม่มีความสุข
เพราะอำนาจของพวกเขาสูญเสียไป บางพวกในหมู่สมาชิกชนชั้นสูงเหล่านี้
มั่นใจว่านครรัฐที่เป็นคู่แข่งจะเข้าโจมตีเอเธนส์ เนื่องจากผลแห่งการรุกรานนี้
เหล่าทรราชจึงสูญเสียอำนาจและเป็นช่วงเวลาอันสั้น
สมาชิกของชนชั้นสูงก็กลับมาครองอำนาจในเอเธนส์
|
การปกครองในเอเธนส์
|
|||||
คณาธิปไตย (oligarchy)
|
การปกครองแบบกดขี่ (Tyranny)
|
ประชาธิปไตย
(Democracy)
|
ชาวเอเธนส์สร้างประชาธิปไตย
ประมาณ 500
ปีก่อนคริสตกล ผู้นำคนใหม่นามว่า ไคลส์ธีนีส (Cleisthenes) ครองอำนาจในเอเธนส์
แม้ว่าเขาจะเป็นสมาชิกของตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดคนหนึ่งในเอเธนส์
ไคลส์ธีนีสก็ไม่ต้องการให้สมาชิกชนชั้นสูงมาบริหารการปกครอง เขาคิดว่า พวกเขามีอิทธิพลมากเกินไปแล้ว
ด้วยการสนับสนุนของประชาชน ไคลส์ธีนีสก็สามารถล้มล้างการปกครองแบบอภิชนาธิปไตย (aristocracy) เป็นครั้งสุดท้าย
เขาได้สถาปนารูปแบบแห่งการปกครองแบบใหม่อย่างสมบูรณ์ในสถานที่เกิดแล้ว
ภายใต้การเป็นผู้นำของไคลส์ธีนีส
เอเธนส์ได้พัฒนาประชาธิปไตยขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ด้วยเหตุผลนี้
บางครั้งเขาจึงถูกเรียกว่า บิดาแห่งประชาธิปไตย (father of democracy)
ประชาธิปไตยภายใต้การปกครองของไคลส์ธีนีส
ภายใต้การปกครองของไคลส์ธีนีส
ประชากรทั้งหมดในเอเธนส์มีสิทธิในการเข้าร่วมในสภา
หรือสถานที่มาชุมนุมของประชากร เพื่อออกกฎหมายของเมือง สภาได้ประชุมกันกลางแจ้งข้างเนินเขาเพื่อให้ทุก
ๆ คนสามารถเข้าร่วมประชุมได้ ในระหว่างการประชุม ประชาชนจะยืนต่อหน้าชุมนุมชนและกล่าวประเด็นทางการเมือง
ประชากรทุกคนจะมีสิทธิในการพูดแสดงความคิดเห็น ในความเป็นจริง ชาวเอเธนส์ได้กระตุ้นให้ประชาชนออกมาพูด
พวกเขาชอบฟังการพูดและการอภิปราย ภายหลังการการพูดสิ้นสุด สภาจะออกเสียง
ปกติแล้วการออกเสียงจะใช้การยกมือ แต่บางครั้งชาวเอเธนส์จะใช้วิธีการลงคะแนนลับ
สมาชิกของประชาชนที่ออกเสียงในสภา
เปลี่ยนแปลงไปวันต่อวัน อย่างไรก็ตาม สำหรับการตัดสินใจส่วนใหญ่
สภาตั้งการประชาชนประมาณ 6,000 คนในการออกเสียง แต่มันไม่ง่ายเสมอไปที่จะให้ประชาชนมากมายมาประชุมกันในสถานที่เดียว
ตามที่นักเขียนกรีกคนหนึ่งกล่าวไว้
รัฐบาลได้ส่งทาสหลายคนไปยังตลาดเพื่อให้เต็มจำนวนประชากรถ้าเกิดความจำเป็น
ในบทของนักเขียนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า ทาสหลายคนเดินผ่านตลาดด้วยการยึดเชือกยาวระหว่างพวกเขา
เชือกจะถูกซ่อนไว้ด้วยการย้อมสีแดงและสามารถทำให้เสื้อผ้าของทุก ๆ
คนที่สัมผัสเชือกเกิดเป็นรอยได้ ประชากรคนใดมีสีแดงติดบนเสื้อผ้าจะต้องไปยังสถานที่ประชุมสภาหรือเสียค่าปรับจำนวนมาก
เนื่องจากสภาใหญ่มาก
บางครั้งจึงยากในการตัดสินใจ ดังนั้น
ชาวเอเธนส์จึงเลือกประชากรไปไปเจ้าหน้าที่ของเมืองและเพื่อให้บริการในสภาที่เล็กกว่า
เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะตัดสินใจว่า กฎหมายใดที่สภาควรจะอภิปราย ข้อนี้ช่วยให้รัฐบาลบริหารงานได้อย่างราบรื่นมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงในประชาธิปไตยของเอเธนส์
เมื่อเวลาผ่านไป
ประชากรได้รับอำนาจมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น พวกเขามีหน้าที่เป็นคณะลูกขุนในการตัดสินคดีในศาล
คณะลูกขุนมาจากที่ใดก็ได้ตั้งแต่ 200 ถึง 6,000 คน
แม้ว่าคณะลูกขุนในบรรดาประชาชนประมาณ 500 คน จะเป็นสามัญชนมากกว่า
คณะลูกขุนส่วนมากมีจำนวนสมาชิกเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสัมพันธ์
|
เอเธนส์เป็นประชาธิปไตยเป็นเวลาประมาณ
170 ปี ขึ้นสู่จุดสูงสุดภายใต้ผู้นำที่ฉลาดปราดเปรื่องที่ได้รับการเลือกตั้ง
นามว่า เพริคลีส (Pericles) เขาเป็นผู้นำรัฐบาลตั้งแต่ประมาณ 460
ปีก่อนคริสตกาลจนถึงเสียชีวิตเมื่อ 429 ปีก่อนคริสตกาล
เพริคลีสได้กระตุ้นให้ชาวเอเธนส์เกิดความภูมิใจในเมืองของตนเอง
เขาเชื่อว่า การเข้าร่วมในการปกครองเกือบจะมีความสำคัญพอ ๆ
กับการป้องกันเอเธนส์ในสงคราม การกระตุ้นให้ประชาชนเข้าร่วมในการปกครอง
เพริคลีสเริ่มจ่ายค่าแรงให้กับประชาชนที่ทำหน้าที่บริการในสถานที่ราชการหรือเป็นคณะลูกขุน
เพริคลีสยังกระตุ้นให้ประชาชนแห่งเอเธนส์นำการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นเผยแพร่ยังส่วนอื่น
ๆ ของกรีซด้วย
การสิ้นสุดประชาธิปไตยในเอเธนส์
ในที่สุด ยุคแห่งประชาธิปไตยแห่งเอเธนส์อันยิ่งใหญ่ก็มาถึงการสิ้นสุด
ในยุคกลางศตวรรษที่ 330 ก่อนคริสตกาล
เอเธนส์ก็ถูกชาวมาซิโดเนียจากทางตอนเหนือของกรีซเข้าพิชิต ภายหลังถูกพิชิต
เอเธนส์ก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลอันเข้มแข็งของมาซิโดเนีย
ถึงแม้ภายหลังจะถูกชาวมาซิโดเนียพิชิต
เอเธนส์ก็รักษาการปกครองแบบประชาธิปไตยไว้ได้
แต่เป็นประชาธิปไตยที่มีข้อจำกัดมาก กษัตริย์มาซิโดเนียได้ปกครองประเทศของพระองค์คล้ายกับระบบเผด็จการ
ซึ่งเป็นผู้ปกครองที่ยึดอำนาจทั้งหมด ไม่มีใครสามารถทำการตัดสินใจใด ๆ
ได้โดยที่พระองค์ไม่อนุมัติ
ในเอเธนส์ สภายังมีการประชุมเพื่อออกกฎหมาย
แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้รบกวนกษัตริย์ ชาวเอเธนส์ไม่กล้าทำการเปลี่ยนแปลงอย่างร้ายแรงใด
ๆ ต่อกฎหมายของตนเองได้โดยที่ยังไม่ได้รับรับอนุมัติจากกษัตริย์ พวกเขาไม่มีความสุขกับสถานการณ์แบบนี้
แต่พวกเขากลัวกองทัพอันทรงประสิทธิภาพของกษัตริย์ แม้ว่า อีกไม่นาน
ชาวเอเธนส์จะสูญเสียประชาธิปไตยแม้ที่มีข้อจำกัดนี้ เมื่อศตวรรษที่ 320
ก่อนคริสตกาล
กษัตริย์องค์ใหม่จะขึ้นครองกรีซและหยุดประชาธิปไตยของเอเธนส์ตลอดกาล
|
ประชาธิปไตยแบบโบราณแตกต่างจากประชาธิปไตยสมัยใหม่
สหรัฐอเมริกามีการปกครองแบบประชาธิปไตยซึ่งประชาชนปกครองกันคล้ายกับเอเธนส์สมัยโบราณ
แต่ประชาธิปไตยแบบสมัยใหม่ของสหรัฐแตกต่างจากประชาธิปไตยของเอเธนส์สมัยโบราณมาก
ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy)
ประชากรในเอเธนส์ทุกคนสามารถเข้าร่วมในการปกครองได้โดยตรง
เราเรียกรูปแบบประชาธิปไตยแบบนี้ว่า ประชาธิปไตยทางตรง (direct
democracy)
ที่เรียกว่า ประชาธิปไตยทางตรง
เนื่องจากการตัดสินใจของแต่ละคนมีผลกระทบต่อผลการออกเสียงโดยตรง ในเอเธนส์
ประชากรจะมาชุมนุมกันเพื่อภิปรายประเด็นและออกเสียงเกี่ยวกับประเด็นเหล่านั้น เมื่อนับการออกเสียงของแต่ละคนแล้ว
เสียงส่วนมากจะได้ปกครองประเทศ
สหรัฐใหญ่โตมากเกินไปที่จะใช้ประชาธิปไตยทางตรงในการทำงานให้ประเทศทั้งหมด
ยกตัวอย่างเช่น
เป็นไปไม่ได้ที่ประชากรทุกคนจะมาประชุมกันในสถานที่เดียวกันเพื่ออภิปราย
เหล่าผู้ก่อตั้งสหรัฐจึงจัดตั้งประชาธิปไตยอีกชนิดหนึ่งขึ้นมาแทน
|
ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน
(Representative
Democracy)
ประชาธิปไตยที่ก่อตั้งขึ้นโดยเหล่าผู้ก่อตั้งสหรัฐ
คือ ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน (Representative Democracy) หรือประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ
(republic Democracy) ในระบบนี้ ประชากรจะเลือกเจ้าหน้าที่เพื่อเป็นตัวแทนของพวกเขาในการปกครอง
แล้วเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการเลือกตั้งจะประชุมกันเพื่อออกกฎหมายของประเทศและนำมาใช้บังคับพวกเขา
ยกตัวอย่างเช่น ชาวอเมริกาจะเลือกวุฒิสมาชิกและผู้แทนเข้าไปสู่รัฐสภา (Congress) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ออกกฎหมายของประเทศ
ชาวอเมริกาไม่ได้ออกเสียงกฎหมายแต่ละฉบับที่รัฐสภาผ่าน แต่มีความเชื่อมั่นในผู้แทนที่พวกเข้าเลือกให้ออกเสียงให้กับพวกเขา
|