ศรัทธาและคัมภีร์ในศาสนายิว
|
||
ศรัทธาในศาสนายิวอันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสังคมของพวกเขา
ศาสนาเป็นรากฐานของสังคมชาวยิวทั้งหมด
ความจริง วัฒนธรรมของชาวยิวจำนวนมากมีรากฐานมาจากความเชื่อในศาสนายิวโดยตรง ความเชื่อที่เป็นศูนย์กลางของศาสนายูดาห์
คือ ความศรัทธาในพระเจ้า การศึกษา ความยุติธรรม และการเชื่อฟังโอวาท
|
||
ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว
ที่สำคัญที่สุด
ชาวยิวมีความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว ชาวฮิบรูตั้งชื่อพระเจ้าว่า YHWH ซึ่งชาวยิวไม่ได้ประกาศ
เนื่องจากถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว เรียกว่า
เอกเทวนิยม (monotheism)
ประชาชนมากมายเชื่อว่า ศาสนายูดาห์ เป็นศาสนาแรกของโลกที่นับถือพระเจ้าองค์เดียว
เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงนับถือปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบัน
ในโลกโบราณซึ่งประชาชนส่วนมากเคารพพระเจ้าหลายองค์
การเคารพพระเจ้าองค์เดียวจึงทำให้พวกเขาแยกออกจากพวกอื่น
การเคารพนับถือนี้ยังก่อตัวเป็นสังคมยิวด้วย ชาวยิวเชื่อว่า พระเจ้าได้ชี้นำทางประวัติศาสตร์ของพวกเขา
เนื่องจากพวกเขาเป็นญาติกับอับราฮัม
ความเชื่อในการศึกษา
รากฐานที่เป็นศูนย์กลางของศาสนายูดาห์อีกประการหนึ่งคือการศึกษาและการเล่าเรียน
การสอนพื้นฐานของศาสนายิวให้กับเด็ก ๆ มีความสำคัญในสังคมของชาวยิวตลอดมา ในชุมชนชาวยิวโบราณ
เด็กผู้ชายที่เติบโตขึ้น ที่ไม่ใช่เด็กผู้หญิง จะศึกษาเล่าเรียนกับครูผู้ชำนาญเพื่อศึกษาศาสนาของพวกเขา
แม้กระทั่วทุกวันนี้
การศึกษาและการเล่าเรียนยังเป็นศูนย์กลางของการดำเนินชีวิตของชาวยิว
ความยุติธรรมและความชอบธรรม
อีกประการหนึ่ง
ศูนย์กลางของศาสนาของชาวยิว คือ แนวความคิดเรื่องความยุติธรรมและความชอบธรรม สำหรับชาวยิวแล้ว
ความยุติธรรมหมายถึง ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความไม่ลำเอียงในการปฏิบัติตัวต่อประชาชนคนอื่น
ๆ ทุก ๆ คนควรได้รับความยุติธรรม แม้แต่คนต่างถิ่นและอาชญากร
ชาวยิวได้รับการคาดหวังว่าจะเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือต่อผู้ต้องการความช่วยเหลือ
เช่น คนยากจน คนเจ็บป่วยและคนกำพร้า
ชาวยิวยังได้รับการคาดหวังว่าจะเป็นผู้มีความซื่อตรงในการดำเนินการด้านธุรกิจทั้งหลาย
ความชอบธรรมหมายถึง
การกระทำสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม ชาวยิวควรจะประพฤติตนให้ถูกต้องเหมาะสม
ถึงแม้ว่าคนอื่น ๆ รอบ ๆ ตัวเขาจะไม่ประพฤติเช่นนั้นก็ตาม สำหรับชาวยิวแล้ว
ความประพฤติที่ถูกต้องเหมาะสมมีความสำคัญกว่าประเพณีที่มีแบบแผนเสียอีก
การปฏิบัติตามกฎทางศาสนาและศีลธรรม
การปฏิบัติตามกฎหมายมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับความยุติธรรมและความชอบธรรม
กฎทางศีลธรรมและทางศาสนาได้ชี้นำทางชาวยิวผ่านทางประวัติศาสตร์และดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ชาวยิวเชื่อว่า พระเจ้าประทานกฎเหล่ามาให้พวกเขาปฏิบัติตาม
กฎหมายของชาวยิวที่สำคัญที่สุดคือบัญญัติสิบประการ
แต่อย่างไรก็ตาม บัญญัติเหล่านั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกฎหมายของชาวยิวเท่านั้น ชาวยิวเชื่อว่า
โมเสสบันทึกระบบกฎหมายทั้งหมดที่พระเจ้าวางไว้ให้พวกเขานับถือ ระบบนี้ตั้งชื่อตามชื่อของโมเสส
เรียกว่า กฎหมายของโมเสสหรือกฎหมายโมเสก (Mosaic law)
|
กฎหมายของโมเสสเหมือนกับบัญญัติสิบประการชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตประจำวันของชาวยิวมากมาย
ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายของโมเสสครอบคลุมถึงวิธีการสวดมนต์และการฉลองวันหยุด กฎหมายเหล่านั้นห้ามชาวยิวทำงานในวันหยุดหรือในวันซับบาธ
(วันสะบาโต) ซึ่งเป็นวันที่เจ็ดของแต่ละสัปดาห์ วันซับบาธ คือวันพักผ่อน
เนื่องจากในวัฒนธรรมประเพณีของชาวยิว
พระเจ้าได้สร้างโลกตลอดหกวันและทรงพักผ่อนในวันที่เจ็ด วันซับบาธของชาวยิวเริ่มตั้งพระอาทิตย์ตกในวันศุกร์และสิ้นสุดในช่วงเวลามืดของวันอาทิตย์
ซึ่งเป็นวันที่เจ็ดของสัปดาห์
กฎเกี่ยวกับอาหารที่ชาวยิวสามารถรับประทานได้และกฎที่จะต้องปฏิบัติในการเตรียมอาหารเหล่านั้นก็อยู่ในจำนวนกฎหมายของโมเสส
ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายกล่าวว่า ชาวยิวไม่สามารถรับประทานเนื้อสุกรหรือสัตว์น้ำจำพวกมีเปลือกได้
ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นของที่สกปรก กฎหมายอื่น ๆ กล่าวไว้ว่า เนื้อสัตว์จะต้องถูกฆ่าและถูกจัดเตรียมไว้ในวิธีที่ยอมรับได้สำหรับให้ชาวยิวรับประทาน
อาหารในปัจจุบันซึ่งได้รับการจัดเตรียมไว้เช่นนั้น เรียกว่า kosher หรือเหมาะสม
ในชุมชนชาวมากมายในปัจจุบัน
ผู้คนยังคงปฏิบัติตามกฎหมายของโมเสสอย่างเคร่งครัด ชุมชนนั้นมีชื่อว่า ชาวยิวออทอดอกซ์
(Orthodox
Jew) ชาวยิวพวกอื่น ๆ เลือกที่จะไมปฏิบัติตามกฎหมายโบราณมากมาย
พวกเขามีชื่อว่า ชาวยิวยุคปฏิรูป (Reform Jew) กลุ่มที่สามเป็นชาวยิวอนุรักษ์นิยมอยู่ระหว่างกลุ่มสองกลุ่มนอกนี้
ชาวยิวเหล่านี้คือกลุ่มชาวยิวที่ใหญ่ที่สุดสามกลุ่มในโลกปัจจุบัน
คัมภีร์แสดงรายการความเชื่อของชาวยิว
กฎและหลักการของศาสนายูตายได้อธิบายไว้ในคัมภีร์หรือข้อเขียนอันศักดิ์สิทธิ์มากมาย
ในบรรดาคัมภีร์เหล่านั้น มีคัมภีร์โทราห์
ซึ่งเป็นคัมภีร์ของชาวฮิบรูและอรรถาธิบาย
คัมภีร์โทราห์
ชาวยิวโบราณได้บันทึกกฎหมายของพวกเขาส่วนมากไว้ในหนังสือห้าเล่ม
หนังสือเหล่านี้เรียกรวมกันว่า คัมภีร์โทราห์ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในศาสนายูดาห์
นอกจากกฎหมายแล้ว
คัมภีร์โทราห์ยังคลุมถึงประวัติศาสตร์ชาวยิวจนถึงการสิ้นชีวิตของโมเสส
การอ่านจากคัมภีร์โทราห์เป็นศูนย์กลางการบริการทางด้านศาสนาของชาวยิวในปัจจุบัน
โบสถ์ยิว (synagogue) หรืออาคารที่เคารพบูชาเกือบทุก ๆ แห่ง
อย่างน้อยที่สุดก็มีคัมภีร์โทราห์เล่มหนึ่ง เนื่องจากความเคารพนับถือคัมภีร์โทราห์
เหล่านักอ่านจะไม่แตะต้องคัมภีร์เลย พวกเขาจะใช้ตัวชี้เศษเพื่อทำเครื่องหมายตำแหน่งไว้ในคัมภีร์
|
โมเสสกับลูกโคทองคำ
ตามที่คัมภีร์ฮิบรูเล่าไว้
เมื่อโมเสสกลับจากภูเขาซีนาย (Sinai) เขาได้พบว่า ชาวฮิบรูกำลังเคารพนับถือรูปปั้นลูกโคทองคำ
พวกเขาไม่อดทนรอโมเสสและต้องการเคารพนับถือพระเจ้าที่พวกเขามองเห็น
โมเสสโกรธจัดที่พวกเขานับถือรูปปั้นเทพเจ้าแทน ในภาพวาดของชาวอิตาลีนี้
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 1600 ชาวฮิบรูกำลังทำลายลูกโคทองคำ
|
คัมภีร์ฮิบรู
คัมภีร์โทราห์คือคัมภีร์ส่วนแรกในบรรดากลุ่มเอกสารสามส่วนที่เรียกว่า
คัมภีร์ฮิบรู หรือทานัค (Tanakh) กลุ่มที่สองจัดไว้เป็นหนังสือแปดเล่ม
อธิบายถึงพระวารสารของศาสดาพยากรณ์ชาวยิว
ศาสดาพยากรณ์คือบุคคลผู้ที่ได้รับการพยากรณ์ไว้ว่าจะรับพระวารสารจากพระเจ้าเพื่อนำมาสอนให้กับคนอื่น
ๆ
กลุ่มสุดท้ายของคัมภีร์ฮิบรูคือหนังสือบทกวี
บทเพลง เรื่องเล่า บทเรียน และประวัติศาสตร์ จำนวน 11 เล่ม ยกตัวอย่าง หนังสือดาเนียล
(the
Book of Daniel) กล่าวถึงศาสดาพยากรณ์นามว่า ดาเนียล (Daniel) ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในระหว่างยุคเชลยศึกบาบิโลน (Babylonian
Captivity) ในหนังสือกล่าวไว้ว่า ดาเนียลโกรธกษัตริย์ผู้ที่จับชาวยิวไปเป็นทาส
ในขณะลงโทษ กษัตริย์รับสั่งให้เอาดาเนียลไปโยนลงในกรงสิงโต เรื่องราวกลว่าว่า
ศรัทธาในพระเจ้าของดาเนียลได้ป้องกันสิงโตไม่ฆ่าเขา และเขาจึงถูกปล่อยไป
ชาวยิวเล่าเรื่องราวนี้เพื่อแสดงถึงพลังแห่งศรัทธา
ส่วนสุดท้ายของคัมภีร์ฮิบรูยังเป็นสุภาษิตคำพังเพย
ซึ่งเป็นคำอธิบายสั้นเกี่ยวกับสติปัญญาของชาวยิวอีกด้วย
สุภาษิตคำพังเพยมากมายเหล่านี้ถือกันว่าเขียนขึ้นโดยเหล่าผู้นำชาวอิสราเอล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
กษัตริย์โซโลมอน ยกตัวอย่างเช่น กษัตริย์โซโลมอนเป็นผู้ที่ได้รับการคาดว่าทรงกล่าวคำพังเพยว่า
“ชื่อเสียงที่ดีงามจะได้รับการคัดเลือกมากกว่าความร่ำรวยอันยิ่งใหญ่” อีกประการหนึ่ง
เป็นการดีที่จะมองคนดีมากกว่าคนร่ำรวยและไม่น่าเคารพนับถือ
ส่วนที่สามของคัมภีร์ฮิบรู
ยังมีหนังสือบทสวดแลเพลงสวดสรรเสริญ (the Book of Psalm) อีกด้วย ซาร์ม
(Psalm) คือ บทกวีหรือเพลงสวดสรรเสริญพระเจ้า ซาร์มเหล่านี้ถือกันว่าเขียนขึ้นโดยกษัริย์ดาวิด
ซาร์มที่มีชื่อเสียงที่สุดบทหนึ่ง คือ ซาร์มส่วนที่ยี่สิบสาม
มันรวมถึงบรรทัดซึ่งปัจจุบันนี้นิยมอ่านกันบ่อย ๆ ในช่วงเวลาประสบความทุกข์ยาก:
“พระองค์เป็นศาสดาของข้าฯ
ข้าฯ ไม่ขาดแคลนอะไรเลย
พระองค์ทำให้ข้าฯ
นอนลงบนทุ่งหญ้าอันเขียวขจี
พระองค์นำข้าไปสู่น้ำในสถานที่อันสงบ
พระองค์ประทานชีวิตใหม่ให้กับข้าฯ
พระองค์ทรงแนะนำข้าฯ
ในมรรคาที่ถูกต้อง เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์”
ซาร์ม 23:1-3
อรรถาธิบาย
เป็นเวลาหลายศตวรรษที่นักปราชญ์ได้ศึกษาคัมภีร์โทราห์และกฎหมายยิว
เนื่องจากกฎหมายบางอย่างยากที่จะเข้าใจ
นักปราชญ์จึงเขียนอรรถาธิบายเพื่ออธิบายคัมภีร์เหล่านั้น
อรรถาธิบายมากมายนั้น
ค้นพบในคัมภีร์ทัลมุด (Talmud) ซึ่งเป็นชุดของอรรถาธิบายและบทเรียนสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวัน
งานเขียนคัมภีร์ทัลมุดเกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 200 – 600
ชาวยิวจำนวนมากถือว่าคัมภีร์เหล่านั้นเป็นชั้นที่สองต่อจากคัมภีร์ฮิบรูที่มีความสำคัญต่อศาสนายูดาห์
ม้วนหนังสือเปิดเผยความเชื่อในอดีต
นอกจากคัมภีร์โทราห์แล้ว
คัมภีร์ฮิบรูและอรรถาธิบาย เอกสารอื่น ๆ
มากมายยังอธิบายความเชื่อในสมัยโบราณของชาวยิวด้วย ม้วนหนังสือเดดซี (Dead Sea
Scrolls)
เป็นหนังสือที่สำคัญที่สุด ซึ่งเขียนขึ้นโดยชาวยิวผู้มีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ
2,000 ปีที่ผ่านมา
|
จนกระทั่งถึง ค.ศ.
1947 ไม่มีใครเข้าใจม้วนหนังสือเดดซีเลย ในปีนั้น
เด็กหนุ่มหลายคนกำลังหาแพะที่หายใกล้ทะเลเดดซี ได้ค้นพบถ้ำเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
เด็กคนหนึ่งได้เดินเข้าไปสำรวจและพบตุ่มเก่า ๆ มากมายเต็มไปด้วยม้วนหนังสือเก่า
ๆ
เหล่านักปราชญ์ตื่นเต้นกับการค้นพบของเด็กชายคนนั้นเป็นอย่างมาก
ด้วยความกระตือรือร้นที่ค้นพบม้วนหนังสือมากขึ้น
นักปราชญ์เหล่านั้นจึงเริ่มไปค้นหาที่ทะเลทราย ตลอดสองสามทศวรรษต่อมา
นักค้นหาก็ค้นพบกลุ่มของม้วนหนังสือมากมาย
การศึกษาอย่างรอบคอบได้เปิดเผยว่า
ม้วนหนังสือเดดซีส่วนมากเขียนขึ้นระหว่าง 100 ปีก่อนคริสตกาล ถึง ค.ศ. 50 ม้วนหนังสือเหล่านั้น
ประกอบด้วยบทสวด อรรถาธิบาย จดหมาย และบทความจากคัมภีร์ฮิบรู งานเขียนเหล่านี้ได้ช่วยให้นักประวัติศาสตร์เรียนรู้ชีวิตของชาวยิวจำนวนมากในช่วงเวลานี้
ศาสนายูดาห์และวัฒนธรรมยุคต่อมา
เป็นเวลาหลายศตวรรษที่แนวความคิดของชาวยิวมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมอื่น
ๆ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมในยุโรปและอเมริกา เหล่านักประวัติศาสตร์เรียกวัฒนธรรมยุโรปและอเมริกาว่า
โลกตะวันตก เพื่อแยกวัฒนธรรมนั้นออกจากวัฒนธรรมเอเชีย
ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของยุโรป
เนื่องจากชาวยิวอาศัยอยู่ทั่วโลกตะวันตก
ผู้คนแห่งวัฒนธรรมเป็นอันมากได้เรียนรู้แนวความคิดของชาวยิว อีกประการหนึ่ง
แนวความคิดเหล่านี้ได้ก่อเป็นรูปร่างของศาสนาที่ใหญ่ที่สุดของสังคมตะวันในปัจจุบัน
คือ ศาสนาคริสต์
พระเยซูผู้เป็นเจ้าของคำสอนที่เป็นพื้นฐานของศาสนาคริสต์เป็นชาวยิว แนวความคิดเหล่านี้ถูกเผยแพร่ไปสู่อารยธรรมตะวันตกโดยชาวยิวและชาวคริสต์
ศาสนายูดาห์ยังมีอิทธิพลต่อการพัฒนาศาสนาหลักอีกศาสนาหนึ่ง คือ ศาสนาอิสลามด้วย
บุคคลที่ยอมรับนับถือศาสนาอิสลามเชื่อว่า พวกเขา คล้ายกับชาวฮิบรู คือ
เป็นลูกหลานของอับราฮัม
แนวความคิดของชาวยิวมีผลกระทบต่อสังคมของพวกเราอย่างไร?
ประชาชนจำนวนมากยังมองไปถึงบัญญัติสิบประการว่าเป็นคำแนะนำที่พวกเขาควรจะใช้ดำเนินชีวิต
ยกตัวอย่างเช่น ประชาชนได้รับการคาดหวังว่าจะเป็นผู้ยกย่องให้เกียรติบิดามารดา
ครอบครัวและเพื่อนบ้านและไม่พูดโกหกหรือหลอกลวง แม้ว่าแนวความคิดเหล่านี้ไม่ใช่เป็นลักษณะเฉพาะของศาสนายูดาห์
มันก็อาศัยชาวยิวนำเข้าไปสู่วัฒนธรรมตะวันตก
แนวความคิดที่สืบทอดมาจากคำสอนของชาวยิวไม่ได้มาจากบัญญัติสิบประการทั้งหมด
แนวความคิดของชาวยิวอื่น ๆ ก็ยังหาได้ในวิธีการดำเนินชีวิตของประชาชนในปัจจุบัน
ยกตัวอย่างเช่น ประชาชนจำนวนมากไม่ทำงานในวันสุดสัปดาห์เพื่อยกย่องวันสะบาโต
(วันซับบาธ) อีกประการหนึ่ง
ประชาชนบริจากเงินหรือสิ่งของเป็นการกุศลเพื่อช่วยเหลือคนยากจนและคนขาดแคลน
แนวความคิดการกุศลนี้มีพื้นฐานมาจากคำสอนของศาสนายิวเป็นส่วนมาก
|
คัมภีร์ฮิบรู
|
อรรถาธิบาย
|
ม้วนหนังสือเดดซี (The Dead Sea Scrolls) |